
สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกคน วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องเล่าให้ข้อคิดดี ๆมาฝากค่ะ เราไปอ่านพร้อมกันเลยค่ะ ^_^
ครั้งแรก..ที่เข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง คุณครูชั้นอนุบาลพูดว่า…
” ลูกชายของคุณเป็นโรคอยู่ไม่สุข ไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ แม้เพียงสามนาที ให้ดีแล้ว คุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลดีกว่านะคะ “
ตอนเดินทางกลับบ้าน ลูกชายถามเธอว่า คุณครูพูดอะไรบ้าง เธอเจ็บปวดหัวใจ น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา เพราะว่า..เด็กน้อยทั้งห้องสามสิบคน มีเพียงการกระทำ การปฏิบัติตัวของเขาแย่ที่สุด คุณครูแสดงออกถึงความดูแคลน ทว่า.. เธอยังคงบอกกับลูกชายว่า
” คุณครูชื่นชมลูก บอกว่าเดิมทีลูกไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้แม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สามารถนั่งได้สามนาทีแล้ว ส่วนคุณแม่คนอื่นๆ ต่างก็อิจฉาแม่ เพราะว่า ทั้งห้องมีลูกเพียงคนเดียว ที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น “
ค่ำวันนั้น ลูกชายของเธอกินข้าวหมดสองถ้วยซึ่งเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งไม่ต้องให้เธอป้อน ลูกชาย..ขึ้นชั้นประถมแล้ว การประชุมผู้ปกครอง คุณครูพูดว่า……
” นักเรียนทั้งชั้นห้าสิบคน ผลการสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ ลูกชายของคุณได้อันดับที่สี่สิบ พวกเราสงสัยว่า สติปัญญาของเขา อาจจะมีปัญหา ให้ดีแล้ว คุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลจะดีกว่า “
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน น้ำตาเธอไหลรินออกมา ทว่า เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว กลับพูดกับลูกชายว่า….
” คุณครูเชื่อมั่นในตัวลูกมาก ครูบอกว่า ลูกไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา ขอเพียงแต่เพิ่มความละเอียดรอบคอบมากขึ้น ก็จะเหนือกว่า คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับลูก ครั้งนี้คนที่นั่งโต๊ะตัวเดียวกันกับลูก เขาสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด “
ตอนที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ เธอพบเห็นว่าดวงตาของลูกชายค่อยๆเปล่งประกายแสงยิ่งๆขึ้น ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อครู่ ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที อีกทั้ง..เธอพบเห็นว่า ลูกชายอ่อนโยนจนทำให้เธอตกใจคล้ายดั่งเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมากในทันที วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน ก็ไปเช้ากว่าปกติ
ลูกชายขึ้นชั้นมัธยมต้น เป็นอีกครั้งของการประชุมผู้ปกครอง เธอนั่งอยู่ในที่นั่งเรียนของลูกชาย รอคอยคุณครูขานชื่อของลูกชายเธอ เพราะว่า..การประชุมผู้ปกครองทุกครั้งที่ผ่านมา รายชื่อของนักเรียน ที่มีผลการเรียนย่ำแย่ จะมีรายชื่อของลูกชายเธอทุกครั้ง
ทว่า ครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธอ จวบจนสิ้นสุดก็ ไม่ได้ยินชื่อของลูกชายเธอ เธอเกิดความไม่เคยชิน ก่อนกลับจึงไปถามคุณครู คุณครูบอกกับเธอว่า……
” ดูจากผลการเรียนของลูกคุณในปัจจุบันแล้ว หากไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ยังมีความเสี่ยงที่สูงอยู่ “
เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยความดีใจ ยามนี้ เธอเห็นลูกชายยืนรอคอยเธออยู่ ระหว่างทาง เธอจับไหล่ของลูกชาย ภายในจิตใจรู้สึกหวานชื่นยิ่ง เธอบอกกับลูกชายว่า…..
” คุณครูประจำชั้นพอใจในตัวลูกมาก ครูบอกว่า ขอเพียงลูกมีความพยายาม ก็จะมีหวังยิ่งขึ้น ที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง “
จบมัธยมปลายแล้ว รายชื่อนักเรียนชุดแรก ที่ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งผลการสอบผู้คัดเลือกได้ ยามนั้น..ทางโรงเรียนได้โทรศัพท์มา ให้ลูกชายเธอไปที่โรงเรียน เธอมีลางสังหรณ์ว่า ลูกชายของ
เธอจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแน่ เพราะว่า..ตอนที่ไปสมัครสอบ เธอได้พูดกับลูกชายว่า เธอเชื่อและมั่นใจว่า เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้แน่นอน
ลูกชายกลับมาจากโรงเรียน นำจดหมายที่มีตราประทับจากสำนักงานของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังยื่นให้เธอ จากนั้น…หันหลังแล้ววิ่งไปที่ห้อง ร่ำร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ร้องไปก็พูดไปว่า
” แม่..ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาด แต่ว่า…บนโลกนี้มีเพียงแม่ที่ชื่นชมผม………”
ยามนี้…เธอสุดแสนจะดีใจ ไม่สามารถกลั้นน้ำตา ที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีอีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไหลริน ร่วงลงบนซองจดหมายที่อยู่ในมือ
คำพูด….ที่ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน สามารถแปรเปลี่ยนแนวคิดและพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง แม้กระทั่งแปรเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่ง
คำพูด..เชิงลบ บั่นทอนกำลังใจ จะทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของ คนคนหนึ่ง จนบาดเจ็บชอกช้ำ จวบจนกระทั่งทำลายอนาคตของคนคนหนึ่ง
คน..เปราะบางยิ่งกว่าไข่ไก่ ไข่ไก่ต้องเคาะหนึ่งที่ถึงจะแตก คน..กลับบ่อยครั้ง เพียงเพราะคำพูดคำๆเดียวของผู้อื่นซึ่งมองไม่เห็น หัวใจก็แหลกสลายแล้ว ดังนั้นจงมีสติเวลาที่พูด เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นด้วยนะคะ ^_^
Credit: Niwat Rungvicha