
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน อันที่จริงแล้วผู้เขียนคิดมานานแล้วว่าอยากจะเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอในชีวิตจริงมาให้ผู้อ่านได้อ่าน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต (หรือว่าอาจจะเป็นเพียงแค่การรำลึกถึงความหลังของผู้เขียนก็เป็นได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผู้เขียนก็ถือว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราวที่น่าจดจำและเป็นเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์มากที่ทำให้ผู้เขียนมีชีวิตและมีแนวคิด มีทัศนคติที่ดีในการดำรงชีวิต ซึ่งตอนแรกผู้เขียนก็รู้สึกประหลาดใจในตัวเองเหมือนกัน และคิดในใจว่า “ตอนนั้นเราเขียนบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้อย่างงไรกันนะ” แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆเพราะถ้าไม่มีผู้เขียนในวันนั้น ก็คงจะไม่มีผู้เขียนในวันนี้ ยังไงก็ขอให้ผู้อ่าน อ่านบันทึกเล่มนี้อย่างมีความสุขนะคะ ^_^
บางครั้งในชีวิตของคนเราก็มีหลายสิ่งหลายอย่างถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย บางครั้งก็สุข บางครั้งก็ทุกข์ บางครั้งก็ทุกข์ บางครั้งก็สุข (เอ๊ย…ยังไงเนี่ย) อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ บันทึกนี้ ไม่ได้เขียนขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านเครียดหรอกนะ แต่มีไว้เพื่อระบายความรู้สึกต่างหาก (ระบายเฉพาะผู้เขียนหรือเจ้าของบันทึกนี้เท่านั้นนะ คนอื่นน่ะห้ามเด็ดขาด)
เอาล่ะ อย่างที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำในตอนต้นว่า ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ เรื่องราวที่ผู้เขียนกำลังจะเล่าต่อไปนี้ ก็มีทั้งสนุกสนาน เฮฮาบ้าง เศร้าบ้างคละเคล้ากันไป (ไม่อยากจะบอกเลยนะเนี่ยว่ากำลังเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเองอยู่) ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ลองอ่านดูก่อนละกัน
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า (ฮิ…ฮิ…ทำเหมือนกับว่า กำลังจะเล่านิทานอีสปเลยเนอะ) แต่ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็ได้เหมือนกันอ่ะนะ มันก็คล้าย ๆ นิดนึงอ่ะแหละ ผู้เขียนจะเล่าจริง ๆล่ะนะ อะแฮ่ม…อะแฮ่ม… (เฮ้ย…เฮ้ย… นี่มันการ เขียนนะ ไม่ใช่การเล่าจากปากซะหน่อย ไม่ต้องเตรียมเสียงก็ได้ ชักจะรำคาญแล้วนะ ลีลาอยู่ได้ #คนอ่าน >_< ฮิ..แค่นี้ทำมาเป็นโมโห ถ้างั้นไม่ลีลาแล้วก็ได้ ผู้อ่านคงอยากจะรู้เรื่องจนใจจะขาดเล้วใช่ไหม ฮิ..ฮิ…อย่างเงี้ยะแหละนะ คนน่ารักก็แบบนี้แหละ มีคนอยากรู้เรื่องเป็นธรรมดา (ฮะ..ฮะ.. ล้อเล่นน่าผู้เขียนไม่หลงตัวเองหรอก แต่ถ้าผู้อ่านจะชม ผู้เขียนก็ว่ากันนะ ยินดีอ้าแขนรับคำชมจ้า ^_^) เอ่อ…รู้สึกว่าตัวเองจะไร้สาระไปกันใหญ่แล้วอ่ะนะ เอาเป็นว่า ท่านผู้อ่านเชิญอ่านได้เลยจ้า เชิญ…เชิญ…
เริ่มจากประวัติส่วนตัวก่อนละกัน ผู้เขียนลืมตาดูโลกในวันที่ 10 เมษายน ส่วนพ.ศ. อะไรนั้น ผู้เขียนไม่ขอบอกละกัน ^_^ มีพี่น้อง 5 คน (แต่ตอนนี้ก็เหลือ 4 คน เพราะว่าพี่สาวของผู้เขียนแต่งงานแล้ว ตอนนี้ผู้เขียนก็เลยกลายเป็นพี่คนโต (ซะงั้น) ไม่อยากจะเป็นเลย ที่จริงผู้เขียนอยากจะมีพี่สาว พี่ชาย ส่วนผู้เขียนอยากจะเป็นคนกลาง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะคงได้แค่ติด ฮือ…ฮือ…ร้องไห้ดีกว่า (เอ๊ะ…เอ๊ะ…ตอนนี้ยังเศร้าไม่ได้สิ อันนี้แค่เริ่มต้นเท่านั้นเองนี่นา) เอาล่ะ! เล่าต่อ…พูดถึงนิสัยกันบ้างดีกว่า นิสัยของผู้เขียนน่ะเหรอ (แหะ ๆ ไม่อยากจะบรรยายเลยนะเนี่ย แต่เพื่อผู้อ่านที่รัก ผู้เขียนยอมค่ะ ^_^) นิสัยของผู้เขียนขอบรรยายแบบรวม ๆก็แล้วกันเนอะ ผู้เขียนเป็นคนที่ เอ่อ….จะบรรยายยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อน ๆ มีเรื่องที่ไม่สบายใจ ก็สามารถมาปรึกษาผู้เขียนได้นะ (อ๊ะ! แต่ยกเว้นเรื่องเงินนะ เพราะผู้เขียนก็ไม่มีเหมือนกัน ก็ผู้เขียนก็ยังเรียนหนังสืออยู่เลยนี่นา)
มาถึงกรุ๊ปเลือดกันบ้างดีกว่า ผู้เขียนกรุ๊ปเลือด B *หมายเหตุ ถ้าผู้อ่านอยากรู้นิสัยเพิ่มเติม ก็สามารถไปอ่านจากกรุ๊ปเลือดที่เขาทายนิสัยกันได้นะ ไม่ว่าจะทางอินเทอร์เน็ตหรือไปถามครูบางท่านที่รู้ก็ได้ แต่มันอาจจะไม่เหมือนทั้งหมดอ่ะนะ แต่ก็มีบางส่วนที่ตรงแหละ แต่ถ้าไม่อยากลำบากขนาดนั้นก็สามารถมาถามผู้เขียนโดยตรงก็ได้นะ
ส่วนเรื่องนักร้องที่ชอบ ก็….. โอ๊ย..รู้สึกว่าผู้เขียนจะมีคน เอ๊ย!นักร้องที่ชอบเยอะมากเกินไปอ่ะ เอาเป็นว่า ยกชื่อมาแค่บางคนก็แล้วกัน ก็คือ Ken(JKI), Kevin (XING), Hero (Dong Bang Shin Ki), Jack (Nice 2 Meet U) หวังว่ายกตัวอย่างแค่นี้คงจะพอแล้วล่ะ ^_^
ประวัติส่วนตัวเรื่องสุดท้าย เอาเป็นเรื่องคติประจำใจดีกว่าเนอะ คติประจำใจก็คือ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ที่ถือคตินี้เพราะว่า ฟังแล้วมันรื่นหูดีน่ะ หึ ๆ ล้อเล่นน่ะ ที่จริงแล้วผู้เขียนคิดว่ามันจริงอย่างที่พูดไว้มากว่า คือเราไม่ต้องมีเงินทอง มีทรัพย์สินมากมาย เพียงแค่เราทำตัวดี เป็นด็กดีของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และเป็นคนดีของสังคม ผู้เขียนก็ว่าแค่นี้แหละก็ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าแล้ว
ผู้เขียนจำชีวิตตอนเด็กไม่ค่อยจะได้แล้วอ่ะนะ เอาเป็นว่าผู้เขียนจะเล่าเท่าที่ผู้เขียนจำได้ก็แล้วกันนะ OK? (ถ้าไม่ใช่เล่าเท่าที่จำได้ แล้วจะเอาจากไหน มาเล่าอีกล่ะครับ #ผู้อ่าน)
ผู้เขียนจะเล่าชีวิตตอนเด็กล่ะนะ รู้สึกว่าแม่ของผู้เขียนจะเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า (ตอนเด็กคือตอนที่ผู้เขียนยังตัวเล็กอยู่อ่ะนะ) แม่บอกว่าผู้เขียนเป็นคนที่เสี้ยงยากมากเลย คือผู้เขียนไม่ค่อยสบาย เจ็บป่วยบ่อยมาก มีวันหนึ่ง (เอ๊ะ! ไม่ใช่วันนึงสิ ต้องเป็นครั้งหนึ่งต่างหาก) แม่บอกว่าผู้เขียนสลบไปตั้งสามวันแน่ะ (สามวัน!!!) ผู้อ่านอ่านไม่ผิดหรอก สลบไปสามวันเต็มๆเลย ซึ่งพ่อกับแม่ ก็คิดว่าผู้เขียนจะตายไปแล้วซะอีก (นี่ผู้เขียนไม่ได้แช่งตัวเองนะ ตอนนี้ผู้เขียนเป็นคนที่แข็งแรงจะตาย เฮ่ย…เฮ่ย…เฮ่ย… ไม่มีคำว่าตายต่อหลังนะ ต้องบอกว่า ตอนนี้ผู้เขียนเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจคงจะเหมาะกว่าเนอะ ^_^ ) เอาล่ะ ยังไงผู้เขียนก็ผ่านช่วงชีวิตนั้นมาได้ (อย่างสง่างาม) และยังมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาให้ผู้อ่านได้ยลโฉมหน้าตาของผู้เขียนอยู่นี่ไง ฮิ..ฮิ..(ผู้หญิงอะไร ชมหน้าตาตัวเองเฉยเลย แบบนี้เขาเรียกว่าไงกันนะ…
#ผู้อ่าน) (ไม่ต้องมายุ่งเลย ไม่มีใครมาชม แล้วเราชมตัวเองไม่ได้หรือไงเล่า ^_^)
เอาล่ะ… ไม่เล่นแล้ว ต่อไปผู้เขียนขอเล่าตอนที่อยู่อนุบาลก็แล้วกัน (คือชีวิตตอนที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆอยู่ก็มีเยอะอ่ะนะ แต่ ณ ตอนนี้ ขณะนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าจะนึกไม่ค่อยออกแล้ว แหะ ๆ ๆ ดังนั้นผู้เขียนก็เลยจะขอข้ามชีวิตตอนอนุบาลละกัน (หวังว่าผู้อ่านคงจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ ^_^)
ผู้เขียนจำได้ว่า ตอนที่ผู้เขียนอยู่ตอนประถม ผู้เขียนเป็นคนที่ขี้แยมากๆ ถ้าจะถามว่าเอาอะไรมาตัดสินเหรอ ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาอะไรมาตัดสินว่าผู้เขียนเป็นคนที่ขี้แย แต่ยังไงก็ตาม ลองอ่านดูก่อนแล้วกัน ว่าผู้เขียนขี้แยจริงหรือเปล่า (ที่จริงคำว่าขี้แยเนี่ยผู้เขียนไม่ชอบเลยนะ แต่เพื่อผู้อ่านที่น่ารัก ผู้เขียนจะยอมขุดคุ้ยเรื่องในอดีตที่แสนจะเศร้า ฮือ…ฮือ….มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน) (ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง เว่อร์… #ผู้อ่าน)
เรื่องที่ 1 มีอยู่ว่า มีวันหนึ่งผู้เขียนกับเพื่อนไปเล่นน้ำที่แม่น้ำใกล้บ้าน แล้วก็เกิดเหตุขึ้น คือตอนที่ผู้เขียนกับเพื่อนไปถึงที่แม่น้ำ ปรากฎว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว พวกเขาก็หันมาทางผู้เขียนกับเพื่อน คงจะสนใจล่ะมั้ง ฮิ…ฮิ… (ล้อเล่นน่า เป็นใครก็ต้องหันมามองทั้งนั้นแหละ ก็มีคนมา ก็ต้องมองดิ จริงไหม) พวกเขามองผู้เขียนกับเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นว่า
“คนตัวเล็กน่ารักจัง ส่วนคนตัวใหญ่ไม่เห็นน่ารักเลย” โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด คนถูกชมทำยังไงรู้ไหมคะท่านผู้อ่าน คนถูกชม… ร้องไห้ค่ะ ร้องไห้ จริงค่ะ ผู้อ่านอ่านไม่ผิดหรอก ส่วนคนที่ถูกพวกเขาว่า (ก็คือเพื่อนของผู้เขียนนั่นเอง) (อ้อ…ผู้เขียนลืมบอกไปเรื่องนึงค่ะ ว่าตอนที่ผู้เขียนยังเด็ก ผู้เขียนเป็นคนที่ตัวเล็กมาก ตอนนี้ผู้เขียนก็รู้สึกว่าจะเล็กกว่าเพื่อน ๆเหมือนตอนเด็กอ่ะนะ) รู้ไหมคะว่าเพื่อนของผู้เขียนนั้นคว้าไม้ที่อยู่แถว ๆนั้นไปไล่ตีคนกลุ่มนั้น ส่วนผู้เขียนล่ะ ผู้เขียนก็ยืนร้องไห้อยู่ที่เดิม (ไม่รู้ว่าตัวเองจะร้องไห้หาอะไรเหมือนกัน ผู้เขียนน่าจะดีใจสิ งงตัวเองเหมือนกันค่ะ)
เรื่องที่ 2 และอีกต่อ ๆไปก็คือ มีวันหนึ่งครูบอกให้ผู้เขียนไปแข่งขันรายการอะไรสักอย่างนั่นแหละ ผู้เขียนก็บอกครูว่า ผู้เขียนไม่ไป แต่ครูก็บอกให้ผู้เขียนไป ผู้เขียนก็เลยใช้ไม้ตายซะเลย (ที่จริงผู้เขียนก็ไม่ได้ไม้ตงไม้ตายอะไรหรอก ผู้เขียนก็แค่ร้องไห้เหมือนเดิม แต่ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะร้องนะ น้ำตามันไหลลงมาเองต่างหาก) (ถ้าแสดงแข่งกับนางร้ายท่าจะรุ่ง ฮ่า ๆ ๆ)
อีกเรื่องก็คือ ผู้เขียนกำลังเล่นก้อนหินกับเพื่อน ๆ คือผู้เขียนก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะนะ แต่เอาเป็นว่าเล่นก้อนหินก็แล้วกัน (ไม่ใช่ก้อนหินก้อนใหญ่นะ) เผอิญว่าผู้เขียนเป็นคนที่เล่นก้อนหินเก่งอ่ะนะ (เชอะ… หลงตัวเองซะไม่มี) (นี่ผู้เขียนไม่ได้หลงตัวเองนะ เอ๊ะ….เอ่อ…อาจจะหลงตัวเองนิดหน่อย
เอ๊ะ…. ไม่ใช่ เอ่อ… ช่างมันละกัน เล่าต่อดีกว่า) เผอิญว่าผู้เขียนก็เล่นชนะเพื่อน ๆ เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มก็เลยชมว่า “เธอเล่นเก่งจัง เป็นนางเอกได้แล้วมั้ง” แล้วผู้เขียนว่าไงล่ะคะ ผู้เขียนก็… เฮ้อ…ไม่อยากจะบอกเลย ผู้เขียนก็เหมือนเดิม แทนที่จะยิ้มรับ น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ดันไหล ฮือ ๆ ๆ (ไม่เข้าใจตัวเองเลย)
อีกเรื่องหนึ่ง ครูก็บอกให้ผู้เขียนอ่านหนังสือ เอ่อ…คือหมายความว่า ครูให้ผู้เขียนอ่านก่อน แล้วให้เพื่อน ๆ ในห้องอ่านตามอ่ะนะ ผู้เขียนก็ร้องไห้อีกเช่นเคย (ไม่ใช่ว่าผู้เขียนอ่านไม่เป็นนะ แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเอง
เอาเป็นว่า ผู้เขียนจะเล่าต่อตอนอยู่มัธยมก็แล้วกัน)
ตอนผู้เขียนเข้า ม. 1 ใหม่ ๆ ผู้เขียนเป็นคนที่เงียบมาก ๆ เพราะพูดไม่ค่อยเก่งหรืออาจจะไม่อยากพูดก็ได้มั้ง ผู้เขียนจะชอบโดนเพื่อนแกล้งตลอดเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ แต่แปลกตรงที่ผู้เขียนไม่เคยร้องไห้เลย ถึงเพื่อนจะแกล้งผู้เขียนยังไงก็ตาม ตอนแรกผู้เขียนไม่สนิทกับใครเลย พออยู่ไปสัก….กี่อาทิตย์ก็ไม่รู้แหละ ผู้เขียนรู้สึกว่าเริ่มจะสนิทกับเพื่อนในห้อง โดยเฉพาะ “Fong” เพื่อนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ สดใสและเป็นกันเอง เวลาที่เราทะเลาะกัน (แบบเล่น ๆอ่ะนะ) Fong ก็จะชวนผู้เขียนต่อยทุกที (ซึ่งจริง ๆแล้ว Fong ก็รู้ว่าผู้เขียนไม่มีวันต่อยกับเขาหรอก แต่ชวนเล่น ๆไง) รู้สึกว่าผู้เขียนจะมีความสุขเวลาที่อยู่กับเพื่อนคนนี้มาก ๆ ผู้เขียนอยากบอกเพื่อนคนนี้ว่า
“ขอบใจนะ ที่ทำให้เรามีวันดี ๆ และมีความทรงจำที่ดีเหล่านั้น”
